การกระทำพันธสัญญากับเหล่าปีศาจผู้มาจากความมืดนั้น…
จักทำให้เวทมนตร์แห่งแสงอันเปรียบประดุจพรแห่งพระเจ้าต้องแปดเปื้อน
นับเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างสูงสุดและเป็นบาปที่ไม่อาจอภัยได้
มันผู้ใดที่คิดฝ่าฝืนจักต้องถูกโทษทัณฑ์คำสาปแห่งบาปไปจนตราบชั่วลูกชั่วหลาน
คำสาปแห่งบาปหนาอันได้รับขนานนามว่า….
หลายร้อยปีก่อน ในยุคแห่งการเผยแผ่ศาสนาและลัทธิต่างๆยังคงเจริญรุ่งเรือง…
ยุคที่มนุษย์ต่างมีความเชื่อและศรัทธาในพลังเหนือธรรมชาติ…
พวกเขาเชื่อว่าภูติผีปีศาจ วิญญาณ และเหล่าเทพเทวดามีจริง…
รวมไปถึง…
เวทมนตร์
.
.
.
ณ ดินแดนอันแสนไกล….ทิวเขาอันสวยงามที่รายล้อมไปด้วยธารน้ำตกใสสะอาดเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงเหล่าสรรพชีวิต ทุ่งหญ้าเขียวขจี ทุ่งดอกไม้อันงดงามและขอบฟ้าที่สามารถทอดสายตาออกไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา….
ดินแดนที่เป็นเหมือนสวรรค์บนดินแห่งนี้มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งตั้งรกรากอาศัยอยู่มาเป็นเวลาช้านาน…พวกเขาเรียกตนเองว่า “นักเวทย์แห่งแสง” เนื่องจากพวกเขามีพลังเหนือธรรมชาติที่เรียกกันว่าเวทมนตร์ ซึ่งพวกเขาทุกคนเชื่อว่าเป็นพรที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าและดำรงชีวิตด้วยพลังเหล่านั้นมาเนิ่นนาน….เวลาที่ผ่านพ้นไปทำให้จำนวนประชากรเริ่มหนาแน่นขึ้นจนก่อเกิดเป็น “หมู่บ้านนักเวทย์แห่งแสง” มีผู้นำ มีชาวบ้าน มีสภาใหญ่สำหรับเป็นที่ชุมนุมกันของคนทั้งหมู่บ้าน มีโรงเรียน มีเด็กๆ……
. . . มีศัตรู . . .
“ เร็วเข้าพวกเจ้า!! ฆ่ามันซะอย่าให้พวกมันหนีรอดไปได้ ”
“ ขอรับท่านผู้นำสูงสุด ”
“ ส่วนพวกเด็กๆรีบไปหาน้ำมาดับไฟเร็ว!!! ”
“ ค่ะ/ครับ “
….และแน่นอน ศัตรูแห่งแสงสว่างจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก….
กร๊าซซซ
. . . ปีศาจ . . .
.
.
.
Chapter 0 Prologue, the legend of crimson curse ( ปฐมบท ตำนานคำสาปสีเลือด )
.
.
.
บ้านเรือนทั้งหมู่บ้านต่างเสียหายยับเยินหลังจากจบการต่อสู้กับฝูงปีศาจ รอยคราบเลือดจากทั้งมนุษย์และปีศาจต่างผสมปนเปกันและสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ไฟทำลายล้างจากปีศาจที่ลุกลามเมื่อครู่ค่อยๆถูกดับไปด้วยน้ำและพลังเวทย์ของเหล่านักเวทย์แห่งแสง ผู้คนต่างช่วยกันซ่อมแซมบ้านเรือนในขณะที่ชายชราในชุดคลุมสีขาวและถือไม้เท้าคทาเวทย์ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของหมู่บ้านออกเดินตรวจตราความเสียหายพร้อมๆกับเลขาธิการคนสนิทซึ่งคอยเดินตามอยู่ไม่ห่าง
” เป็นอย่างไรกันบ้าง? ” ชายชราเอ่ยถามหนึ่งในชาวบ้านผู้ซึ่งกำลังซ่อมแซมหลังคาที่พักอาศัยอยู่
” เสียหายไม่มากยังพอซ่อมแซมได้ขอรับ “
” อืม ดีแล้วล่ะ “
แต่ทว่า ในขณะที่ชายชราเดินตรวจตราแต่ละบ้านไปเรื่อยๆนั้น เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังเอะอะโวยวายของพวกชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกับเสียงของเด็กผู้หญิงเถียงกับพวกชาวบ้านในบริเวณนั้น เขาจึงรีบเดินไปยังต้นเสียงทันที
” นังตัวดี!!! แกสินะที่เป็นคนใช้เวทมนตร์เรียกปีศาจพวกนั้นมาน่ะ ”
” ข้าเปล่าซะหน่อย พวกท่านมีหลักฐานรึไงถึงได้มากล่าวหาข้า “
” หนอยยย ยังจะปากแข็งอีกนะ แบบนี้คงต้องสั่งสอนกันอีกซักรอบแล้ – “
” พวกเจ้าเอะอะอะไรกัน? ” ชายชราและเลขาฯคนสนิทเดินมาจนถึงบริเวณที่เริ่มมีคนมุง ตรงกลางวงนั้นนอกจากพวกชาวบ้านที่ยืนอยู่แล้วยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งอายุประมาณ10ขวบเศษนั่งกุมท้องอยู่ที่พื้นและมีเลือดออกที่มุมปากแสดงให้เห็นว่าเพิ่งถูกพวกชาวบ้านทำร้ายมาหยกๆ เธอมีเรือนผมสีเงินยาวประบ่า นัยน์ตาสีม่วงที่ไร้ซึ่งแววของความกลัวเกรงใดๆ และเสื้อคลุมปอนๆสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ พวกชาวบ้านนั้นกำลังรุมกล่าวหาว่าเธอคือผู้ที่เรียกฝูงปีศาจเมื่อครู่มาทำลายหมู่บ้าน ส่วนตัวเธอแม้จะถูกรุมทำร้ายแต่ก็ยังคงยืนยันหนักแน่นว่าตนนั้นบริสุทธิ์
” ท่านผู้นำสูงสุด พวกเราเชื่อว่านังเด็กนี่แหละขอรับคือตัวการที่เรียกฝูงปีศาจพวกนั้นมา ไม่มีใครที่น่าสงสัยไปกว่านางอีกแล้ว ”
” ไม่จริง!!! ข้าใช้เวทมนตร์ธรรมดาไม่เป็นด้วยซ้ำ แล้วข้าจะไปใช้ทำเรื่องอันตรายแบบนั้นได้ยังไง ”
” หุบปากซะนังตัวดี! รอให้ท่านผู้นำสูงสุดตัดสินเถอะ ”
” …… ” ชายชราผู้เป็นผู้นำสูงสุดไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ยืนนิ่งราวกับพิจารณาอะไรบางอย่าง
” หึ หากพวกท่านไม่มีหลักฐานก็อย่ามาใส่ความข้ – ”
” ถึงไม่มีหลักฐานแต่ข้าก็เป็นพยานได้ ” ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากในหมู่คนมุงเรียกความสนใจจากทุกคนรวมทั้งท่านผู้นำสูงสุด ทุกคนต่างหันไปมองทางต้นเสียงแล้วก็พบกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กสาวที่ถูกกล่าวหาในวงล้อม เธอมีเรือนผมยาวสีเงิน นัยน์ตาสีเหลืองประดับด้วยผ้าคาดตาลายกุหลาบสีม่วงที่ตาซ้าย และสวมเสื้อคลุมสีม่วง เด็กสาวก้าวเดินออกมาจากกลุ่มคนมุงด้วยท่าทางที่มั่นใจ….
พร้อมกับรอยยิ้มร้ายที่แสดงออกเพียงเสี้ยววินาที ที่หากใครไม่ทันสังเกตุก็จะไม่เห็น
” เจ้าเห็นอะไรมางั้นรึ ลูเซีย ” หลังจากที่นิ่งเงียบมานานในที่สุดชายชราก็เอ่ยปากถามเด็กสาวผู้เดินมาหยุดยืนอยู่กลางวง
” ก่อนที่พวกปีศาจจะบุกมา ที่ห้องสมุดของสภาใหญ่ข้าเห็นนางไปทำลับๆล่อๆอยู่แถวนั้นแถมเปิดตำราอยู่เล่มหนึ่งด้วย ข้าเองก็เห็นไม่ถนัดนักว่าเป็นตำราอะไรแต่หากพวกท่านส่งคนไปดูมันน่าจะยังวางอยู่บนแท่นอ่านหนังสือนะคะ “
” งั้นรึ ” ชายชราเอ่ยตอบเด็กสาว ก่อนจะหันไปสั่งกับเลขาฯคนสนิท
” เจ้าลองไปดูที่ห้องสมุดตามที่นางบอกซิ “
” ขอรับท่าน ” เลขาฯคนสนิทรับคำสั่งก่อนจะรีบเดินหายไปจากฝูงชนในบริเวณนั้น
” แล้วดึกดื่นขนาดนี้เจ้าไปทำอะไรแถวสภาใหญ่กันล่ะถึงได้เห็นนาง? ” ชายชราเอ่ยถามเด็กสาวอีกครั้ง
” คือว่า…ข-ข้าปวดท้องก็เลยเดินออกมาจะทำธุระ แล้วบังเอิญไปเห็นนางทำตัวน่าสงสัยอยู่แถวๆสภาใหญ่ ข้าเลยแอบตามนางเข้าไปแล้วก็เห็นอย่างที่ข้าบอกไปเมื่อครู่นั่นแหละค่ะ “
” อืม ” ชายชราพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวผู้ถูกกล่าวหาอีกครั้ง
” ที่นางพูดมาเป็นความจริงหรือไม่? “
” หึ ข้าจะไปไหนมันก็เรื่องของข้า แต่ข้ายังยืนยันว่าข้าไม่ได้ทำอะไร ”
” หนอย ต่อหน้าท่านผู้นำสูงสุดยังมาปากเก่งได้อีกนะ!! ”
” ท่านขอรับ ข้าพบตำราตามที่นางบอกจริงๆขอรับ ” เสียงของเลขาฯคนสนิทที่กลับมาจากการพิสูจน์คำบอกเล่าของพยานทำให้พวกชาวบ้านในบริเวณนั้นเงียบกริบอีกครั้ง
” เป็นตำราอะไร? ”
” ….คัมภีร์เวทมนตร์ต้องห้ามขอรับ…. ” ทันทีที่เลขาฯคนสนิทกล่าวจบ ความเงียบกริบเมื่อครู่กลับกลายเป็นเสียงซุบซิบของพวกชาวบ้าน ฝ่ายเด็กสาวผู้ถูกกล่าวหานั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันกรอดๆ
” หลักฐานและพยานมีเพียบพร้อม เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่? ” ชายชราผู้เป็นผู้นำสูงสุดเอ่ยเสียงเย็น สายตานั้นจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีม่วงอันแข็งกร้าวของเด็กสาว
” ข้า….ไม่มี ” เด็กสาวเบี่ยงหน้าหลบสายตาอันเยือกเย็นปนความดุดันของชายชราผู้เป็นผู้นำสูงสุดและตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงประหนึ่งว่าตนนั้นถูกต้อนจนจนมุมแล้ว
” ….แต่ข้ายังยืนยันว่าไม่ได้ – อ๊ากก!!! “
” ว่าแล้วไม่มีผิด เป็นแกจริงๆด้วยสินะนังปีศาจ!!! “
” ใช่!! นังปีศาจ เอ้าพวกเรา!! สั่งสอนมันซะบ้างจะได้รู้สำนึก “
” หนอยแน่!!! นังปีศาจ นังปีศาจ นังปีศาจ ” ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบประโยค พวกชาวบ้านก็เข้ารุมทำร้ายเด็กสาวด้วยความโกรธแค้น ทั้งเตะ ตบ และเขวี้ยงปาก้อนหินใส่โดยไม่สนว่าจะเป็นเด็กหรือไม่อย่างไร….เด็กสาวนั้นทั้งสะบักสะบอม ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลและมีหยาดโลหิตไหลรินจากทั้งศีรษะและปาก ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
” ….กลับกันเถอะ ” ชายชราเอ่ยกับเลขาฯคนสนิทและเดินจากไปอย่างไม่สนใจใยดี ไม่แม้แต่จะเหลือบสายตากลับไปมอง ทิ้งเด็กสาวผู้น่าเวทนาไว้เบื้องหลัง
แต่แล้ว…..
แว่บ !!!
” หือ !? ” ในขณะที่ชายชรากำลังเดินไปนั้น เขากลับรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ แต่แล้วเมื่อหันกลับไปมองบนเนินผาทางด้านหลังที่เขารู้สึกเหมือนจับสัมผัสอะไรบางอย่างได้ก็ต้องพบกับ…..ความว่างเปล่า
” มีอะไรหรือขอรับท่าน? ” เลขาฯคนสนิทหันไปมองตามชายชราและถามด้วยความเป็นห่วง
” ….ไม่มีอะไร ข้าคงรู้สึกไปเองน่ะ ” ชายชราตอบก่อนจะหันกลับมาและเดินจากไปตามปกติ…
….โดยหารู้ไม่ว่าบนเนินผานั้นแท้จริงแล้วมีอะไรบางอย่าง….อยู่บนนั้นจริงๆ
….. หึ หึ หึ …..
.
.
.
บนฟากฟ้ายามราตรีถูกประดับด้วยหมู่ดาวนับพันส่องแสงระยิบระยับราวกับอัญมณีอันสว่างไสว สายลมเย็นยามวิกาลคอยพัดโบกนำพาความหนาวเหน็บมาเยือนและเสียงหรีดหริ่งเรไรขับกล่อมแทนเสียงดนตรี…
บนเนินผาสูงตระหง่านที่รายล้อมด้วยทิวเขาและทุ่งหญ้าเขียวขจี นับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ยามอัสดง…หากแต่ในเวลานี้มีบุรุษผู้หนึ่งในชุดเสื้อไหมและชุดคลุมสีดำประดับด้วยเกราะมันวาวสีเดียวกัน เรือนผมสีดำและดวงตาคมเข้มสีเหลืองทองประดับด้วยผ้าคาดตาหนังสีดำที่ตาขวา ยืนหลังพิงกับต้นไม้ต้นหนึ่ง รับสายลมเย็นที่พัดปะทะบนใบหน้าคม….ริมฝีปากที่ระบายยิ้มเย้ยหยันให้กับความคิดของตนเองนั้นเผยให้เห็นถึงเขี้ยวคมกริบ แสดงให้เห็นว่ามิใช่มนุษย์
” ….มนตร์ต้องห้ามงั้นรึ ” ปีศาจหนุ่มพูดกับตนเองพร้อมระบายยิ้มแห่งความดูถูกเหยียดหยาม
” หึ หึ หึ ก็แค่เวทมนตร์ธรรมดาแต่เกี่ยวข้องกับพวกปีศาจเท่านั้นเอง เพราะความกลัวของมนุษย์จึงได้เรียกมันว่ามนตร์ต้องห้ามสินะ มนุษย์นี่ช่างอ่อนแอจริงๆ ” ปีศาจหนุ่มหัวเราะในลำคอเป็นเชิงดูถูกในความขลาดของมนุษย์
” เอาเถอะ ถึงยังไงมันก็ยังมีมนตร์ที่อันตรายอยู่บทหนึ่งล่ะนะ มนตร์ที่ว่าเกี่ยวข้องกับคำสาปนั่น….. ” ชั่วอึดใจที่ปีศาจหนุ่มนึกถึงเวทมนตร์ต้องสาปนั้น ใบหน้าคมก็มีสีหน้าตึงเครียดทันที แต่ก็อยู่เพียงชั่วครู่เมื่อปีศาจหนุ่มเตรียมตัวจะคืนสู่ร่างเดิมและกลับไปยังที่ที่ตนจากมา แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กผู้หญิงดังมาจากที่ริมผาทำให้เขาเปลี่ยนใจ
เสียงเด็กผู้หญิงงั้นรึ หึหึ แวะทานของว่างก่อนกลับซะหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน
ปีศาจหนุ่มคิดในใจพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากให้กับความคิดที่จะได้ลิ้มรสของว่างอันโอชะ ก่อนจะค่อยๆย่องไปยังบริเวณที่เป็นริมผาและซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใกล้ๆนั้น สายตาคมเข้มราวกับนักล่าที่ชำเลืองมองเหยื่อนั้นลุกวาวและแม้ไม่แหวกกิ่งก้านใบไม้ดูก็สามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน….ภาพเบื้องหน้าคือเด็กสาวเรือนผมสีเงินในชุดคลุมปอนๆสีน้ำตาลเข้ม ตามร่างกายมีรอยช้ำและบาดแผลมีเลือดออกซิบๆแสดงให้เห็นว่าเพิ่งผ่านการถูกรุมทำร้ายมา….เธอนั่งในท่ากอดเข่า เหม่อมองทิวทัศน์ยามราตรีด้วยสายตาอันหม่นหมองพร้อมกับทำเสียงสะอื้น…. ปีศาจหนุ่มที่เห็นดังนั้นไม่ต้องใช้เวลานึกนานก็จำเธอได้ในทันที
….เด็กคนนั้นเองรึ….
หึหึ มานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ช่างไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ
ปีศาจหนุ่มคิดในใจก่อนจะค่อยๆกางเล็บยาวสีดำออกและเริ่มร่ายมนตร์เตรียมจะสังหารเหยื่อตรงหน้าด้วยเวทมนตร์ปีศาจ กลุ่มควันเวทย์สีดำวนเวียนอยู่ในมือของปีศาจหนุ่มเตรียมจะปล่อยพลังได้ทุกเมื่อ เขาเงื้อมือข้างหนึ่งขึ้นเตรียมจะปลดปล่อยพลัง แต่แล้ว…..
ติ๋ง….
กึก! เมื่อครู่นั่นมัน….
ปีศาจหนุ่มยั้งมือไว้ทันทีเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า….ภาพหยาดน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลรินจากดวงตาสีม่วงลงสู่พื้นดิน…..หยดน้ำตาที่เปี่ยมด้วยความเศร้าและความทุกข์อันแสนสาหัสที่ไม่สามารถอธิบายเรียบเรียงเป็นคำพูดได้…
หยาดน้ำตาที่ตัวเขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากมนุษย์…..
แต่ตัวเขานั้นสัมผัสความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในนั้นได้….และเขาเข้าใจมันดี….
. . . เพราะตัวเขาเองก็ “เคย” เป็น . . .
ร้องไห้….อย่างนั้นเหรอ?
ทั้งที่ตอนอยู่ในวงล้อมของพวกชาวบ้านยังดูเข้มแข็งขนาดนั้นแท้ๆ….
ควันเวทย์สีดำค่อยๆจางหายไป ดวงตาของนักล่าที่เฝ้ามองเหยื่อเมื่อครู่กลับดูอ่อนโยนลงก่อนจะค่อยๆหรี่ปิดไป ปีศาจหนุ่มคิดว่าตนนั้นคงทำใจฆ่าเด็กสาวตรงหน้านี้ไม่ลงอีกต่อไป จึงหันหลังกลับ แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวเดินจากไปนั้น เขาก็สังเกตุเห็นดอกไม้สีขาวเล็กๆกอหนึ่งชูช่ออยู่เรี่ยๆบนพื้นดิน….
เขายอตัวลงและเด็ดดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง มองพิจารณาดอกไม้นั้นสลับกับมองเด็กสาวที่ยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่ริมผา….ปีศาจหนุ่มคลี่ยิ้มบางก่อนจะเปลี่ยนใจอีกครั้งและเดินกลับไปทางที่เด็กสาวนั่งอยู่….เขาเดินเข้าไปใกล้โดยไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าใดๆ ฝ่ายเด็กสาวเองก็กำลังอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ไม่รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ปีศาจหนุ่มได้เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆเธอแล้ว
” ดึกดื่นป่านนี้แล้วมานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวล่ะ? ” ปีศาจหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับยื่นดอกไม้สีขาวไปตรงหน้าเด็กสาว
” ท-ท่านเป็นใครกัน! มาทำอะไรแถวนี้? ” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยความตกใจ มือปาดน้ำตาแทบไม่ทัน
” นามของข้าคือเคียร์….เคียร์ เซไฟรีนัส….ข้ามาเดินเล่นแถวนี้น่ะ ” ปีศาจหนุ่มตอบเรียบๆก่อนจะค่อยๆนั่งลงข้างเด็กสาว ดอกไม้ในมือนั้นยังคงยื่นไปตรงหน้าเด็กสาวผู้เริ่มคลายความตกใจลง
” ข-ขอบคุณ ” เด็กสาวเอ่ยก่อนจะรับดอกไม้สีขาวมาจากมือของปีศาจหนุ่ม
” เจ้าชื่ออะไร? “
” ….ฟอร์ร่า เครสเซนเทีย…. ” เด็กสาวตอบด้วยท่าทีที่ยังคงหวาดระแวงเล็กน้อย
” งั้นเหรอ….ชื่อเพราะดีนี่ เหมาะกับเจ้าดีนะ ” ปีศาจหนุ่มเอ่ยชมพร้อมกับคลี่ยิ้มบางโดยไม่ได้หันมามองหน้าเด็กสาว ฝ่ายเด็กสาวที่ถูกชมก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครชมเธอเลยซักครั้ง…โดยเฉพาะชื่อ…ที่แม้แต่ชื่อจริงๆยังแทบจะไม่มีใครเรียก…..
และแล้วความเงียบสงัดก็เข้าแทนที่ ปีศาจหนุ่มผู้มาเยือนไม่ได้ทำอะไรนอกจากแหงนหน้ามองดูดาวที่กระพริบส่องแสงบนฟากฟ้ายามราตรีอย่างสงบ สายลมอ่อนๆที่พัดผ่านทำให้ทุ่งหญ้าโอนอ่อนตามแรงลมเกิดเป็นลูกคลื่นที่พลิ้วไสว….บรรยากาศช่างชวนเคลิบเคลิ้ม แต่แล้วความเงียบสงัดนั้นก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่เมื่อเด็กสาวที่นั่งข้างปีศาจหนุ่มเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
” ….ท่านเป็นปีศาจสินะ ” เด็กสาวเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัว นัยน์ตาสีม่วงที่หันมามองปีศาจหนุ่มนั้นดูนิ่งเฉยและเย็นชาราวกับสิ่งที่เรียกว่าปีศาจนั้นเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่เธอคุ้นชิน
” หึหึ ถ้าข้าตอบว่าใช่แล้วเจ้าจะทำยังไง ” ปีศาจหนุ่มตอบเป็นนัยพร้อมกับคลี่ยิ้มที่มุมปาก สายตานั้นยังคงจับจ้องดวงดาราบนฟากฟ้าโดยที่ไม่ได้หันมามองเด็กสาว
” …ไม่รู้สิ แต่ข้าคงไม่คิดจะหนีแล้วล่ะ ในเมื่อท่านอยู่ใกล้ขนาดนี้แล้วอยากจะทำอะไรข้าก็เชิญเถอะ “
” หึ พูดเหมือนเจ้าไม่เกรงกลัวปีศาจเลยนะ ” คราวนี้ปีศาจหนุ่มละสายตาจากท้องนภาหันมามองเด็กสาวที่ตอนนี้หันหน้ากลับไปจับจ้องทิวทัศน์เบื้องหน้าตามเดิม
” …จะกลัวทำไม ในเมื่อทุกวันนี้ใครๆต่างก็มองข้าเหมือนเป็นปีศาจตนนึงอยู่แล้ว ข้าชินซะแล้วล่ะ….สิ่งที่เรียกว่าปีศาจน่ะนะ ” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ปนความเศร้าเล็กน้อย สายตาจับจ้องทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ทอดยาวออกไปไกลแสนไกล
” ….เหงาสินะ….? “
” ฮะ?? “
” คงเหงาสินะ เจ้าน่ะ “
” จ-จะบ้าเหรอ เหงาอะไรกัน ไม่มีทาง! ” เด็กสาวหันมาเถียงปีศาจหนุ่มด้วยความเขินอาย ราวกับว่าความอ่อนแอของตนได้ถูกเปิดเผย
” เช่นนั้น เมื่อครู่เจ้าร้องไห้ทำไม? “
” นี่ท่าน…เห็นงั้นเหรอ ” เด็กสาวทำท่าทางไม่พอใจในขณะที่ปีศาจหนุ่มได้แต่ระบายยิ้มที่มุมปากแทนคำตอบ
” ก็ได้! ข้ายอมรับว่าข้าร้องไห้ แต่ไม่ใช่ว่าเพราะข้าเหงาหรอกนะ ที่ข้าร้องเพราะข้าสมเพชในชะตาชีวิตของตัวเองต่างหาก ” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจและเบี่ยงหน้าหลบสายตาของปีศาจหนุ่มด้วยความอาย
” งั้นเหรอ “
” …ข้าไม่มีพ่อ ส่วนท่านแม่ก็ตายตั้งแต่ข้ายังเล็ก ทุกคนที่หมู่บ้านต่างก็รังเกียจข้า เพราะท่านแม่บอกข้าว่าในวันที่ข้าเกิดเป็นคืนพระจันทร์สีเลือดซึ่งเป็นคืนที่เหล่าปีศาจจะมีพลังแกร่งกล้าและเป็นสัญลักษณ์แห่งลางร้ายและความอัปมงคล เวลาที่ใครเห็นข้าก็จะเรียกข้าว่านังปีศาจ พวกเด็กๆด้วยกันก็มักจะรังแกข้าอยู่เสมอ….ข้าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด เวลาที่รู้สึกไม่ดีก็มักจะมานั่งดูดาวแถวนี้อยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ลับของข้าเลยล่ะ ”
” หึหึ เจ้าคงใช้ชีวิตอย่างทรหดน่าดูเลยสินะ ” ปีศาจหนุ่มเมื่อได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเด็กสาวตรงหน้าก็นึกเวทนาหน่อยๆและเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กสาวถึงมักทำตัวให้ดูเข้มแข็ง
” ก็คงงั้นมั้ง….เหมือนกับดอกไม้นี่นั่นแหละ ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมๆกับก้มลงมองดอกไม้สีขาวในมือที่ตนเพิ่งได้รับมาจากปีศาจหนุ่ม
” ….ดอกหญ้า….ดอกไม้ที่เติบโตบนพื้นดิน ดอกไม้ไร้ค่าที่ใครๆต่างก็เหยียบย่ำ….ไม่เคยมีใครสนใจและไม่คู่ควรกับใคร ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย พร้อมกับหรี่ตาลงจ้องมองดอกไม้ในมือราวกับเข้าใจความรู้สึกอันเจ็บปวดนั้น
” ….แต่ว่า…. ” ปีศาจหนุ่มเว้นคำพูดไว้ ก่อนจะใช้มือเรียวจับที่คางของเด็กสาวให้ค่อยๆหันหน้ามามองตน
” แม้จะเป็นดอกไม้ที่ถูกใครต่อใครเหยียบย่ำ…แต่ก็ยังคงเบ่งบานและงดงามอยู่วันยังค่ำมิใช่รึ ” ปีศาจหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาสีทองคมเข้มจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีม่วงคู่สวยที่บัดนี้สั่นระริก
” ….ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆเหรอ ” เด็กสาวเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากดวงตาสีทองนั้น
” แล้วเจ้าคิดว่าดอกไม้ในมือเจ้างดงามอย่างที่ข้าบอกหรือไม่ล่ะ ” ปีศาจหนุ่มตอบก่อนจะค่อยๆปล่อยมือจากคางเรียวของเด็กสาว
” ….อื้ม…. ” เด็กสาวก้มลงมองดอกไม้ในมืออีกครั้งก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ ในเสี้ยววินาทีนั้นเด็กสาวได้ระบายยิ้มน้อยๆออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว หากแต่ปีศาจหนุ่มผู้ตาไวนั้นกลับเห็นมัน….รอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่แสนน่ารัก….น่าหลงใหล….และน่าทนุถนอม
ความเงียบสงัดเข้าแทนที่อีกครา สายลมอ่อนเมื่อครู่ยังคงพัดเอื่อยเช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้พัดพาเอาความหนาวเหน็บมาด้วย….สำหรับปีศาจแล้วความหนาวเพียงแค่นี้นั้นถือว่าเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับเด็กสาวตัวเล็กๆที่ใส่เสื้อผ้าปอนๆสกปรกและมีรอยเย็บปะนั้นไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นเช่นนี้ได้ จึงได้แต่กระชับกอดเข่าของตนให้แน่นขึ้นพร้อมกับตัวสั่นน้อยๆ….ฝ่ายปีศาจหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็ระบายยิ้มเอ็นดูก่อนจะร่ายมนตร์เสกให้เสื้อคลุมของเธอนั้นกลายเป็นเสื้อคลุมตัวใหม่สีดำที่สะอาด ไร้รอยเย็บปะและกันความหนาวเย็นได้ดีเยี่ยม
” ข-ขอบคุณ ” เด็กสาวเอ่ยคำขอบคุณเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปีศาจหนุ่มทำให้เธอ
” ใส่ไว้สิ ถือซะว่าเป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกแล้วกันนะ ” ปีศาจหนุ่มเอ่ยก่อนระบายยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเด็กสาว
ทั้งคู่นั่งมองดูดาวสลับกับทิวทัศน์อันสวยงามเบื้องหน้าอย่างสงบ สายลมหนาวเมื่อครู่ไม่อาจทำอะไรเด็กสาวได้อีกต่อไป…..แต่แล้ว แสงจากสุริยันยามค่อยๆเคลื่อนตัวโผล่พ้นขอบฟ้าก็สาดส่องมาจากทางด้านหลัง ส่งผลให้ทั้งเด็กสาวและปีศาจหนุ่มหันไปมองตามทิศทางที่แสงนั้นส่องมา
” อา….พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ข้าคงต้องไปแล้วล่ะนะ ” ปีศาจหนุ่มเอ่ยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนและก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อเตรียมตัวกลับคืนสู่ร่างเดิม
” ท่านจะไปไหนเหรอ? ” เด็กสาวที่เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามปีศาจหนุ่ม
” ….หุบเขานอคช์….ที่ที่ข้าจากมาไงล่ะ ” ปีศาจหนุ่มตอบพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก
หุบเขานอคช์…..หุบเขาทางตะวันตกที่ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของพวกปีศาจน่ะเหรอ? เด็กสาวคิดในใจ
กลุ่มควันเวทย์สีดำวนเวียนรอบกายของปีศาจหนุ่มในร่างมนุษย์ กระแสไฟสีน้ำเงินแลบแปลบๆแสดงให้เห็นถึงพลังอันมากมายมหาศาลที่ปีศาจหนุ่มนั้นมี….ไม่ช้า ร่างมนุษย์ของปีศาจหนุ่มก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นร่างของมังกรสีนิลตัวใหญ่ยักษ์ยืนตระหง่านตรงหน้าเด็กสาว…..แผ่นปีกกว้างสีดำที่แผ่ขยายออกแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขามในขณะที่เกล็ดสีนิลมันขลับยามต้องกับแสงสุริยันก็สะท้อนแสงเป็นประกายวาววับดุจอัญมณีสีนิลดูงดงามยิ่ง….ช่างเป็นร่างที่ความแข็งแกร่งและความงดงามเข้ากันได้อย่างลงตัว….เจ้ามังกรยกยิ้มให้กับเด็กสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเอ่ยคำอำลา
” แล้วพบกันใหม่ ” ทันทีที่พูดจบ ปีศาจมังกรสีนิลก็กระพือปีกเกิดเป็นกระแสลมโหมกระหน่ำชั่วครู่ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกเบื้องหน้าที่ตนนั้นจากมา
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด…..ท่านเป็นปีศาจจริงๆ เด็กสาวคิดในใจขณะยืนมองปีศาจมังกรหนุ่มเริ่มบินห่างออกไป
….แต่ยังไงก็ขอบคุณท่านมากนะ ที่มอบของขวัญอันแสนล้ำค่านี้ให้กับข้า…..
….ของขวัญที่ทำให้ข้ารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกครั้ง…..
….ของขวัญที่เรียกว่า………” กำลังใจ ”
เด็กสาวก้มมองดอกไม้สีขาวในมือด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่นานๆทีเธอจะได้มีโอกาสระบายมันออกมาบนใบหน้างามของเธอซักครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมังกรสีนิลที่บัดนี้บินไกลออกไปจนจวนจะลับสายตา
” แล้วพบกันใหม่….ท่านเคียร์ ” เด็กสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะโบกมือลาปีศาจมังกรสีนิลที่บัดนี้บินจากไปไกลจนลับสายตา….
…ฝ่ายมังกรหนุ่มแม้ไม่ได้ยินสิ่งที่เด็กสาวพูดแต่เขากลับระบายยิ้มราวกับว่าเข้าใจความรู้สึกที่เด็กสาวนั้นส่งมา ก่อนจะกระพือปีกเร่งความเร็วมุ่งหน้าสู่หุบเขาปีศาจที่ตนนั้นจากมา….ต่อไป….
.
.
.
.
.
.
3 วันต่อมา
ยามเช้าที่อากาศสดใส เด็กสาวเรือนผมสีเงินในชุดคลุมสีดำออกมากวาดใบไม้ที่ลานหน้าบ้าน(กระท่อม)ด้วยท่าทางอารมณ์ดี….หลังจากที่เธอได้พบกับปีศาจหนุ่มเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ทำให้เธอมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตอีกครั้ง และดอกไม้สีขาวที่เขามอบให้กับเธอในคืนนั้นเธอก็ได้เอาไปทำเป็นดอกไม้ทับแห้งเก็บไว้ในสมุดของเธอ….
เธอกวาดใบไม้และผงฝุ่นหน้ากระท่อมไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้ยินเสียงของพวกกลุ่มเด็กๆนำโดยเด็กสาวเรือนผมสีเงินในชุดคลุมสีม่วงและผ้าคาดตาลายกุหลาบสีม่วงที่เธอนั้นรู้จักเป็นอย่างดี ทำเอารอยยิ้มของเธอหายไปในทันที
” แหมๆ สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกแน่ๆเลยล่ะ ดูสิ วันนี้ปีศาจดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยว่างั้นมั้ยพวกเรา ” เด็กสาวผู้นำกลุ่มเริ่มเปิดประเด็นเป็นคนแรกก่อนจะส่งสายตาเหยียดหยามไปทางเด็กสาวผู้ถูกเรียกว่าปีศาจ
” ช่ายๆ ร้อยวันพันปีเคยอมยิ้มซะที่ไหน วันนี้ดินฟ้าอากาศคงวิปริตแน่ๆเลยล่ะ 5555 ” เด็กคนอื่นๆในกลุ่มต่างเห็นด้วยและหัวเราะเยาะให้กับเด็กสาว
” เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าปีศาจถึงใส่เสื้อคลุมตัวใหม่ล่ะ แถมเป็นสีดำด้วย! ” หนึ่งในเด็กจากกลุ่มทำเสียงตกใจพร้อมกับชี้ไปที่เสื้อคลุมสีดำที่เด็กสาวใส่อยู่
” จริงด้วยสิ สงสัยเดี๋ยวนี้คงมีฝีมือไปหาเศษผ้าเหลือใช้มาปะได้แนบเนียนขึ้นแล้วย้อมให้เป็นสีดำล่ะมั้ง555 เป็นสีที่เหมาะกับปีศาจอย่างเจ้าดีนะ ” เด็กสาวในชุดคลุมสีม่วงเอ่ยอย่างกระแนะกระแหนพร้อมส่งสายตาดูถูกไปยังเด็กสาวผู้ถูกกล่าวถึง ในขณะที่เด็กสาวนั้นเริ่มโมโหจนทนไม่ไหว….ใครจะดูถูกเธออย่างไรก็ได้แต่ห้ามมาดูถูกสิ่งที่ปีศาจหนุ่มมอบให้เธอเด็ดขาด!
” พอกันที! พวกเจ้ามีธุระอะไรกับข้าก็ว่ามาเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปซะ! แต่อย่ามายุ่งกับของของข้าเด็ดขาดนะ! “
” โอ๊ะโอ ดูท่าทางปีศาจจะเริ่มโมโหซะแล้วสิ อยากรู้จริงๆว่าจะทำอะไรได้บ้าง เอ้าพวกเรา! ลองใช้เวทมนตร์ที่คุณครูสอนที่โรงเรียนมาเล่นกับมันหน่อยสิ ” เด็กสาวในชุดคลุมสีม่วงเอ่ยชักชวนเพื่อนๆในกลุ่มพร้อมรอยยิ้มร้ายราวกับนางพญาที่ออกคำสั่งลูกสมุน
” เอาเลย! เอาเลย! ” พวกเด็กๆต่างกรูเข้ารุมรังแกเด็กสาวด้วยเวทมนตร์ต่างๆนาๆตามที่ตนได้เคยเรียนมาในชั้นเรียน ในขณะที่เด็กสาวผู้สวมเสื้อคลุมสีม่วงได้แต่หัวเราะอย่างสะใจอยู่ห่างๆ….
.
.
.
ความมืดแห่งราตรีมาเยือนอีกครา…เด็กสาวในชุดคลุมสีดำที่ตอนนี้เปรอะเปี้อนไปด้วยรอยฝุ่นและร่องรอยฉีกขาด ตามร่างกายมีรอยแผลเล็กน้อย…เธอนั่งกอดเข่าอยู่ที่ริมผาเดิมที่เธอเคยพบกับปีศาจหนุ่ม…สำหรับเธอแล้วที่นี่เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่เธอจะสามารถมานั่งสงบใจเพียงลำพังได้
” น่าเจ็บใจ….มันน่าเจ็บใจจริงๆ ” เด็กสาวสบถกับตนเอง มือเล็กคว้าเอาก้อนกรวดที่อยู่ข้างกายขึ้นมาก่อนจะขว้างลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง
” พวกนั้นคิดว่าตัวเองมีเวทมนตร์แล้วจะทำอะไรข้าก็ได้งั้นเหรอ คอยดูเถอะ สักวันข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าเจ้าพวกนั้นให้ได้เลยคอยดูสิ! ” เด็กสาวเอ่ยด้วยความเจ็บใจก่อนจะขว้างก้อนกรวดในมือลงไป….ก้อนแล้วก้อนเล่า….แต่ทันใดนั้น
ปึก!
” หือ? ” เด็กสาวอุทานด้วยความสงสัยเมื่อก้อนกรวดก้อนหนึ่งที่เธอขว้างลงไปเมื่อครู่ถูกโยนกลับขึ้นมาหาเธอด้วยความแรงผ่านศีรษะเธอไป….ด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจก้มลงไปดูเบื้องล่าง แล้วก็พบกับ….
” ท่านเคียร์! ” เด็กสาวเรียกชื่อของปีศาจหนุ่มด้วยความตกใจ(ปนดีใจ)เมื่อได้เห็นปีศาจหนุ่มในร่างมนุษย์สวมชุดคลุมสีดำอันคุ้นเคยและมีปีกมังกรที่แผ่นหลัง เขายืนอยู่บนขอบผาด้านล่างไม่ไกลนักพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับเธอ ก่อนจะกางปีกออกและค่อยๆบินขึ้นมายังตำแหน่งที่เด็กสาวนั่งอยู่
” ไง…” เขาเอ่ยทัก ก่อนจะร่ายมนตร์ให้ปีกมังกรที่หลังนั้นหายไปและค่อยๆนั่งลงข้างเด็กสาว
” ท่านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เพิ่งจะหัวค่ำเองนะ เดี๋ยวก็โดนใครเห็นเข้าหรอก ” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยความเป็นห่วงแต่ถึงกระนั้นก็เก็บอาการดีใจที่ตนได้พบกับปีศาจหนุ่มอีกครั้งเอาไว้โดยไม่แสดงออก
” หึหึ ไม่มีใครจับข้าได้ง่ายๆหรอกน่า ” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะก้มลงมองเด็กสาวที่อยู่ข้างกายและสังเกตุเห็นรอยแผลตามตัวของเธอและเสื้อคลุมที่เขามอบให้นั้นมีรอยขาด
” รอยแผลนั่น…เจ้าไปทำอะไรมา? ” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
” ม-ไม่มีอะไร แค่โดนต้นไม้เกี่ยวเอาน่ะ ” เด็กสาวโกหกก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบปีศาจหนุ่มด้วยความอาย….เพราะเธอไม่ชอบให้ใครเห็นเธอในสภาพที่อ่อนแอ
” หึ โกหกไม่เก่งเลยนะเจ้าน่ะ ” ปีศาจหนุ่มหัวเราะในลำคอให้กับความปากแข็งของเด็กสาว ก่อนจะร่ายมนตร์เกิดเป็นควันเวทย์สีดำรอบๆกายของเธอ ไม่นานนัก รอยแผลตามตัวก็ค่อยๆหายเป็นปกติพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำที่ถูกซ่อมแซมกลับเป็นเหมือนเดิม
” ข-ขอบคุณ ” เด็กสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต