ก่อนอ่านก็รู้จัก “สูญสิ้นความเป็นคน” มาบ้างแล้วจากการดูอนิเมเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่ารู้สึกอึดอัดและหนักอึ้งด้วยความมืดหม่นสิ้นหวังต่อสังคม และชีวิตตัวเองของตัวละครที่ชื่อโยโซ ซึ่งมารู้ภายหลังว่างานชิ้นนี้ถือเป็นจดหมายลาตายของดะไซ และเป็นตัวแทนของตัวเขาเองก็ยิ่งรู้สึกว่ามัน “หนัก” ยิ่งกว่าเดิมนัก
เรื่องนี้ถ่ายทอดช่วงชีวิตอันบิดเบี้ยวและเปราะบางของตัวละครที่เพียบพร้อมด้วยฐานะ ทั้งที่ร่ำรวยขนาดนั้น จะยังมีเรื่องทุกข์ใจอะไรอีก โธ่ มันก็มีบ้างละน่า ทุกคนต่างก็มีความเศร้าเก็บลึกด้วยกันทั้งนั้น
ปัญหาของโยโซคือการไร้ความรู้สึกร่วมไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ไม่เข้าใจจิตใจของผู้คน จนเกิดเป็นความหวาดกลัวที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยในที่สุด นอกจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงต่อใครได้ จึงได้แต่เสแสร้งแกล้งทำเป็นตัวตลกให้คนอื่นหัวเราะ ด้วยหวาดกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นคนแปลกแยก ดำเนินชีวิตอย่างลวงหลอกผู้อื่นและตัวเองเรื่อยมาจนเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยรุ่น
ภายใต้ความย้อนแย้งหวาดกลัว ก็รู้สึกว่าโยโซนั้นยังอยากเป็นที่ยอมรับ เข้าสังคมคอมมิวนิสต์ ท่องราตรี และนารี หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาติดพัน แต่กลับไม่กล้าเปิดใจรับใคร แม้แม่ม่ายคนแรกที่โยโซรู้สึกดีด้วยสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนขึ้น และพากันแหลกสลายไปด้วยกัน
จิตใจของโยโซแตกสลาย แต่ตัวเขากลับยังคงอยู่ด้วยความล้มเหลวยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาตั้งคำถามต่อชีวิต ต่อสังคม และพบว่าตัวเองนั้นไร้ค่ายิ่งกว่าเศษมนุษย์ โกหก หลอกลวง ทำร้ายคนที่รักคนแล้วคนเล่า ช่างเป็นคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยจริง ๆ
จากสาวน้อยวรรณกรรมฯ ที่อ่านต่อกันมีตอนหนึ่งที่ว่ากันว่า “สูญสิ้นความเป็นคน” หากไม่รักก็เกลียดไปเลย เพราะมันเป็นงานที่คล้ายกับนักเขียนมานั่งเล่าเรื่องมืดมนของตัวเองให้ฟังอย่างลื่นไหล จังหวะจะโคนของเรื่องไม่สะดุด พาให้คนอ่าน “มีอารมณ์ร่วม” ได้ไม่ยาก ยิ่งเป็นคนที่มีอารมณ์เดียวกับสูญสิ้นฯ ด้วยแล้ว ไม่แปลกเลยที่จะเกิดความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังอย่างเช่นชูจิ ในเรื่อง สาวน้อยวรรณกรรม กับตัวตลกที่อยากตาย (文学少女) และนำพาไปสู่โศกนาฏกรรมเช่นเดียวกับชีวิตของนักเขียน หรือของโยโซ
อึดอัด หน่วงหนัก และฉุดลึก กระนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงดำมืดได้ขนาดนี้ ทำไมชีวิตที่ต้องสวมหน้ากากตลอดเวลามันช่างยากลำบากขนาดต้องจบชีวิตตัวเอง ซึ่งก็คงเพราะเราไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวเอกละมั้ง
- More