Rate this book

The Devilish Montague (2011)

by Patricia Rice(Favorite Author)
3.77 of 5 Votes: 1
ISBN
0451234057 (ISBN13: 9780451234056)
languge
English
genre
publisher
Signet
series
Rebellious Sons
review 1: เราอ่านบทความนึงในอินเตอร์เน็ตซึ่งพูดถึง ความสำคัญของลูกชายคนรอง โดยเฉพาะในประวัติศาสตร์อังกฤษ เนื่องจากบุคคลที่สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หรือประสบความสำเร็จมาก ๆ หลายคนไม่ใช่ลูกชายคนที่เป็นทายาทที่สืบทอดบรรดาศักดิ์ หากแต่เป็นลูกชายคนรอง คนที่ไม่มีส่วนที่จะได้รับมรดกตกทอ... moreดของวงค์สกุล พวกเขาเหล่านี้คือคนที่สร้างรากฐานของประเทศลอร์ดเนลสัน แม่ทัพเรือชื่อดัง (คนที่รูปปั้นอยู่ที่จตุรัสทราฟัลกรา), ดยุคแห่งเวลลิงตัน แม่ทัพผู้เอาชนะนโปเลียน, หรือกระทั่งวิลเลียม พิตต์ นายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของอังกฤษ ทั้งหมดล้วนเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นลูกชายคนรองนั่นทำให้เราเริ่มสนใจหนังสือที่พูดถึงบรรดาลูกชายคนรองมากขึ้น เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง จุดเริ่มต้นของชีวิตแทบจะไม่แตกต่างอะไรจากคนสามัญทั่วไป แต่คงต้องบอกว่า หาหนังสือที่เล่าเรื่องราวของพวกเขาได้ยากมากนะคะ เพราะในโรแมนซ์ มันง่ายกว่าที่จะให้พระเอกเป็นดยุค ขุนนางผู้มีบรรดาศักดิ์สูงสุดในแผ่นดิน กระทั่งนักเขียนก็เคยออกมาพูดว่า เธอเต็มใจที่จะเขียนเรื่องที่พระเอกเป็นคนธรรมดา แต่สำนักพิมพ์ไม่สนใจที่จะตีพิมพ์ เพราะคนอ่านชอบตัวละครที่มีบรรดาศักดิ์ ดังนั้นเมื่อเราเห็นพล็อตเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งตัวพล็อตเองก็ถูกใจเราอยู่แล้ว (การแต่งงานเพื่อความสะดวก) แถมยังเป็นเรื่องของลูกชายคนรองที่มีเวลาว่างในชีวิตมากเกินไป ฉลาดเกินไป ที่จะใช้ชีวิตว่างเปล่าไปวัน ๆ เขากลับดิ้นรนที่จะเป็นบางสิ่ง สร้างบางอย่าง แต่ด้วยความที่เป็นลูกคนรอง ไม่มีใครมองศักยภาพของเขาออก หรือมองเห็นแต่ไม่คิดว่ามีความสำคัญอะไรหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สองในชุด The Rebellious Sons เรื่องราวของเหล่าลูกชายคนรองที่ไม่มีบรรดาศักดิ์ และต้องดิ้นรนหาชีวิตที่เป็นของตัวเอง ซึ่งถ้า่เราเข้าใจไม่ผิด คนแต่งน่าจะตั้งใจเล่าเรื่องราวของคาแร็คเตอร์อีกหลายคนค่ะ แต่ดูท่าทางแล้ว เล่มนี้อาจจะเป็นเล่มสุดท้ายที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วล่ะค่ะ เพราะข่าวว่าปีหน้า คนแต่งจะต้องหันไปเขียนหนังสือแนว Urban Fantasy ตามกระแสแล้วล่ะ (ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะคาแร็คเตอร์ที่เหลืออยู่ล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น)เบลค มองเตกิวฉลาดเกินไป ไม่มีอธิบายอะไรอื่นได้ ถ้าเพียงแต่เขายอมรับสภาพชีวิตของตัวเอง ถ้าเพียงแต่เขายอมรับที่จะเป็นลูกชายคนรองของครอบครัวผู้มีอันจะกินที่ไม่ต้องการให้เขาเสี่ยงชีวิตในสงคราม แต่เบลคต้องการมากกว่านั้น เขาต้องการทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำหรับนักคิดและผู้คงแก่เรียน เบลครู้ว่า เขาสามารถไขรหัสลับที่เหล่าสายลับฝรั่งเศสใช้ได้ แต่เบลคต้องการข้อมูลเพิ่ม ข้อมูลที่เขาไม่มีหากยังอยู่ในลอนดอน ดังนั้นเบลคต้องการไปร่วมรบกับเวลส์ลีย์ (ที่ต่อมากลายเป็นดยุคแห่งเวลลิงตัน) เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่ม แต่ในฐานะของลูกชายคนรอง เบลคซึ่งได้รับการปกป้องจากครอบครัว สกัดกั้นความต้องการจะเป็นทหารของเขาเอาไว้ เบลคไม่มีทางเลือกนอกจากอยู่ในลอนดอนต่อไป จนกระทั่งผู้เป็นพ่อของเขาเสนอบ้านที่ (พ่อของ) เขาชนะจากการพนัน โดยบอกว่า จะให้เบลคหากเขาแต่งงานลงหลักปักฐานเสียที และเจ้าบ้านหลังนี้เองล่ะที่เป็นที่สนใจของโจเซลิน เบิร์ด-คาร์ริงตัน หญิงสาวผู้ซึ่งเพิ่งได้รับของขวัญเป็นสินสอดจากญาติที่เสียชีวิตไปโจเซลินเติบโตมาในบ้านหลังนั้น แต่เธอ น้องชายผู้มีอาการของโรคแอสเพอร์เจอร์ (โรคเดียวกะลอร์ดเอียน จาก The Madness of Lord Ian MacKenzie) และมารดา ถูกพี่ชายต่างมารดาซึ่งกลายเป็นเจ้าของหลังจากความตายของผู้เป็นบิดาขับไล่ออกไป จากนั้นโจเซลีนต้องระหกระเหินไปอยู่กับพี่สาวต่างมารดา ก่อนที่จะความเพี้ยนของมารดาและน้องชาย จะทำให้พวกเธอโดนไล่จากบ้านหลังนึงไปอีกหลังนึงการที่พบกับเบลค และรู้ว่า ถ้าหากแต่งงานกับเขา เธอจะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง สถานที่ที่ซึ่งไม่มีใครขับไล่เธอได้อีก แถมยังเป็นบ้านหลังเก่าของเธอเสียอีก ทำให้โจเซลีนยอมตกลงใจแต่งงานเพื่อความสะดวกกับชายหนุ่มผู้ไม่ได้ปกปิดความตั้งใจของเขาเลยว่า จะเอาเงินสินสอดของเธอไปซื้อยศทหารเพื่อไปร่วมรบแต่พ่อแม่ของเบลคก็เหนือชั้นกว่านั้น พวกเขาใส่เงื่อนไขเข้าไปในสัญญาการแต่งงานว่า หากเบลคเสียชีวิตก่อนการแต่งงานครบรอบหนึ่งปี โจเซลีนจะไม่มีสิทธิในบ้านหลังนั้นเลย ก็เพื่อให้โจเซลีนช่วยป้องกันลูกชายไม่ให้ไปรบอีกคนการแต่งงานเพื่อความสะดวกจึงเกิดขึ้น และก็เหมือนคำอธิบายที่ปกหลังของเรื่องค่ะ มันเป็นการแต่งงานเพื่อความสะดวกที่ไม่สะดวกเอาเสียเลย เพราะทั้งโจเซลีน และเบลคไม่เคยคิดว่า มันจะวุ่นวายแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตของพวกเขาจะครบถ้วนมากขึ้นเบลคเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น เขาเข้าใจแม่และน้องชายของโจเซลินมากกว่าคนอื่น ๆ และไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับคนทั้งคู่ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และเบลคยังไม่ใช่คนที่โจเซลีนมีหน้าที่ต้องดูแล ไม่เหมือนแม่หรือน้องชายที่ติดอยู่ในโลกของตัวเอง โจเซลินเป็นคนเดียวที่ดูแลทั้งหมด แต่กับเบลคเธอได้ใครสักคนที่พึ่งพาได้ ไว้ใจได้ และแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งบนบ่าลงไปในทางกลับกันการที่เขาเป็นคนที่ฉลาดเกินไป เก่งเกินไปที่จะเป็นลูกชายคนรอง ซึ่งไม่มีใครถือสาเขาจริงจัง เบลคถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา และก่อเรื่อง เพราะพลังในการมีชีวิตที่เต็มที่มากเกินไป แต่เมื่อเขาอยู่กับโจเซลิน ซึ่งเคยชินกับการเป็นแม่งานของนักการเมืองและผู้ทรงอำนาจ (เพราะพ่อของเธอก่อนเสียชีวิตเป็นนักการเมือง) เธอทำให้คนอื่นมองเบลคด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป เห็นเขาในตัวตนที่เขาเป็นสำหรับเราที่อ่านเรื่องนี้ เรารู้สึกถึงความลงตัวของกันและกันระหว่างเบลคและโจเซลินอย่างยิ่งค่ะนี่เรายังไม่ได้พูดถึงริชาร์ด น้องชายของโจเซลีนนะคะ พออ่านเรื่องนี้จบลง แม็กซ์นึกอยากไปหยิบ The Madness of Lord Ian MacKenzie มาอ่านใหม่อีกรอบจริง ๆ คาแร็คเตอร์คล้ายกันในระดับนึง (แม้ว่าริชาร์ดจะมีความเป็นเด็กมากกว่า) เรานึกอยากให้แพทริเซียเขียนเรื่องของริชาร์ดออกมาจังเลยค่ะงานเขียนของแพทริเซียไม่ได้ถึงกับลึกล้ำทางอารมณ์ เป็นงานที่อ่านไปได้เรื่อย ๆ สบาย ๆ แต่เราชอบพล็อต ชอบความลงตัวของโรแมนซ์ และนั่นก็มากพอจะทำให้เราชอบเล่มนี้ค่ะคะแนนที่ 70
review 2: Jocelyn Byrd-Carrington didn’t want to marry and give up her freedom after finally freeing herself from the shackles of her wretched family. She wanted the home her dastardly elder brother lost gambling. Except the only way for Jocelyn to get her family’s estate back is by marrying the very man who now holds the deed to her family’s dwelling. The thing Blake Montague desired most was his army colors, not a wife. Without funds, the only way for Blake to buy his colors was to marry for money. And then Jocelyn makes him an offer he cannot refuse. What begins as a marriage of convenience turns into the security Jocelyn has always craved, the home Blake never knew he wanted, and a love to last a lifetime. The second installment in her Rebellious Sons series, Rice creates a compelling cast of characters filled with emotional depth and an intriguing story readers will not soon forget. A rollicking, fast paced read bursting with hilarity. I could not put the book down until the last page! Patricia Rice has added another enticing, enthralling story to her already impressive repertoire. less
Reviews (see all)
priyadavid
a throughly enjoyable read through and through
Vee
Love it couldn't put the book down :)
kate
Good, if you like "zany."
AspieWriter
good read
marissa
dnf
Write review
Review will shown on site after approval.
(Review will shown on site after approval)