ช่วงที่บ้าอ่านงานใครสักคนก็จะเป็นแบบนี้ คือหาหนังสือของเขามาหลาย ๆ เล่มแล้วเสพต่อ ๆ ถ้ามันมึนเบลอก็ให้มันลอยคว้างไปเลย หรือถ้าเหงาก็เอาให้เหงาจนตายเลยเถอะ เราได้ยินว่าโอตสึอิจิเป็นเจ้าพ่อแห่งความเหงา และแฟนตาซีที่มันไม่หนักหน่วงเกินไป ด้วยตัวละครในเรื่องของเขาส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วงวัยรุ่น มันก็คงมีข้อจำกัดและความเป็นไปได้ซึ่งแตกต่างจากเรื่องราวที่ตัวเอกเป็นผู้ใหญ่ที่เราเคยอ่านผ่าน ๆ มาเป็นแน่
ก่อนอ่านเราคิดถึงงานของเขาไว้แบบนั้นละ
1. โทรศัพท์สลับมิติ
3 เรื่องสั้นมาแบบเรียบ ๆ แต่ไม่ชวนให้ไว้วางใจอะไรเลย สงสัยว่าเราจะติดมาจากเรื่องสืบสวนสอบสวนของสำนักพิมพ์นี้ พอมาจับโอตสึอิจิ เราก็เลยนึกกลัวซะงั้นว่าจะเจอดีอะไร แต่พออ่านไปมันก็มีดีนะ ดีที่ความเรียบง่าย แต่หักมุมกระแทกใจ
- โทรศัพท์สลับมิติ
ถ้าโทรศัพท์เราเกิดต่อไปถึงใครคนในจินตนาการได้จะเป็นอย่างไรนะ ? ฟีลกู๊ดมากมาย เรื่องราวและบทสนทนาของทั้งสองคนไม่ได้มีอะไรมากมาย มันสโลว์มาก ๆ และคล้ายว่าจะจบอย่างมีความสุข แต่แบบนั้นคงง่ายเกินไป นักเขียนเขากลัวเรามีความสุขเกินไปหรือยังไงนะ
- บาดแผล
เด็กชายผู้มีพลังถ่ายโอนบาดแผลของผู้อื่นมาให้ตัวเอง โอ๊ย เราร้องเลยค่ะเรื่องนี้ ต้องมีสภาพจิตใจแบบไหนถึงจะโอบรับความเจ็บเจียนตายแทนผู้อื่นได้ คิดว่าคงไม่ใช่แค่จิตใจดีแน่ ๆ เหตุผลน่ะชวนหดหู่เหมือนกัน
- ดอกไม้ร้องเพลง
ชวนงุนงงนิดหน่อยว่าตัวเอกเป็นใคร เพราะอะไรถึงได้มาอยู่ในโรงพยาบาลบ้า ฟังดอกไม้ที่มีใบหน้าเป็นเด็กผู้หญิงร้องเพลงปลิบประโลมใจ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชวนรู้สึกมันโดดเดี่ยวเหลือเกิน เป็นความเหงาที่โหดร้าย แต่จบอย่างงดงาม กินใจ
ถึงจะชอบ แต่ก็คิดว่างานโอตสึอิจิไม่ใช่แนวเราอยู่ดี ไม่ใช่มนุษย์ขี้เหงาขนาดนั้น บางช่วงเลยรู้สึกว่าขี้เพ้อเหลือเกิน 555
2. กลลวงเทพจิ้งจอก
2 เรื่องสั้นต่างรส เรื่องแรก “A MASKED BALL การปรากฏและหายตัวของสิงห์อมควัน” ในรั้วโรงเรียนที่น่าขบขันและชวนอมยิ้มบางช่วง แต่แน่นอนว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีทางเป็นชีวิตวัยรุ่นธรรมดา ๆ ไปได้หรอก อา… เราชอบแบบนี้มากกว่าความเหงาเศร้าจิตของโอตสึอิจินะ
มาต่อ “กลลวงเทพจิ้งจอก” ที่ฉีกฟีลเรื่องแรกไปไกลจนไม่น่าจะอยู่ภายในเล่มเดียวกันได้ เพราะความเหงา ความเศร้าถาโถมมาหนักหน่วงมาก มิตรภาพเหนือธรรมชาตินิด ๆ ตามสไตล์เขาละมั้ง
2. คดีตัดข้อมือ (Goth)
หลังจากเข้าไม่ถึงความเหงาของโอตสึอิจิมาสองสามเล่มแล้ว แต่ว่าเล่มนี้รอดแฮะ เพราะมันไม่ได้บรรยายความเหงา ความเศร้าซึมในจิตใจ แต่ว่ามันคือความบิดเบี้ยวของจิตใจที่ดำมืด แรงขับเกี่ยวกับความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ ใครจะรู้บ้างว่าผู้ชายที่เดินสวนกับเราบนถนนลึก ๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่ หรือเด็กผู้หญิงที่กำลังเดินเล่น หัวเราะอยู่กับหมานั้นแท้จริงแล้วเธอสามารถฆ่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้อย่างไม่ลังเลใจ ฯลฯ
เรามองคนแต่ภายนอกได้หรือ คงจะไม่ อะไรทำให้จิตใจของใครบางคนบิดเบี้ยวได้ขนาดนี้ บางทีก็อาจเป็นพื้นฐานด้านครอบครัว ถูกสังคมตีกรอบอันดีงาม บีบคั้นมากเกินไปจนต้องระบายออกด้วยความรุนแรง หรือบางคนก็แค่… เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้ถูกชักจูงด้วยอารมณ์อะไรทั้งนั้น
6 เรื่องสั้นจบในตอน ที่มีจุดร่วมคือเด็กหนุ่มซึ่งบิดเบี้ยวอยู่ภายใน แต่เพื่อการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปกติสุขแล้ว ก็จำต้องเสแสร้ง แสดงภาพลักษณ์ที่ดีเข้าไว้ มีเพียงเพื่อนสาวร่วมชั้นคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักตัวตนที่แท้จริง และเธอเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
การเล่าเรื่องผ่านมุมมองที่ 1 และ 3 บ้าง บางตอนมันบรรยายสภาพจิตใจออกมาตรง ๆ ก็ทำให้อึดอัดอยู่เหมือนกัน อะไรจะกล้าบอกกันขนาดนี้ว่าตัวเองผิดปกติ การที่บอกว่าตัวเองช่างไร้ความอบอุ่นของมนุษย์มันก็ทำให้รู้สึกเหงาและหดหู่อยู่นิด ๆ ละนะ และสุดท้ายเราคิดว่าก็ยังเป็นโอตสึอิจิละน่า มันต้องมีอารมณ์ทึมเทาซึมอยู่ลึก ๆ แม้ว่าจะไม่ได้พูดบอกออกมาก็ตาม
3. นิทานมืด
เอ๊ย เพิ่งจะบอกว่าเราชอบความโหด ๆ จิต ๆ บิดเบี้ยวจากโกธ คิดว่าเล่มนี้ก็น่าจะชอบ แต่ไม่เลยว่ะคุณ เล่มนี้น่ากลัว 5555 ไม่ได้เย็นเยียบน่าขนลุกและรู้สึกถึงความมืดหม่นอะไรเลย เพราะมันเต็มไปด้วยสีแดงของเลือด ยัดความน่าขยะแขยงมาสุดเลเวล
นิทานมืดเป็นเรื่องของอีกาหนุ่มที่หลงรักเด็กสาวตาบอด และพยายามช่วยให้หล่อนมองเห็นโดยการขโมยดวงตาของผู้อื่นมาให้ และดวงตานั้นดันติดความทรงจำของเจ้าของเดิมมาด้วย อืม ตรงนี้น่าสนใจนะ การมองเห็นประสบการณ์ของคนอื่นที่มีทั้งสุข เศร้า เจ็บปวด คงน่าตื่นเต้นดี แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ของตัวเอง แล้วมันก็เชื่อมไปอีกเรื่อง จำไม่ได้แล้วว่าไปได้ยังไง ถึงฆาตกรที่มอบบาดแผลที่ไม่เจ็บปวดให้กับเหยื่อ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันตลกมากกว่าจะน่าหดหู่อะ
Advertisements Share this:- More